วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Hello

sombatanakorn

พิสูจน์"แผนที่วินแลนด์"เก่าแก่ของจริง วาดอเมริกาก่อนทริปโคลัมบัส



นาย รีน ลาร์เซ่น นักวิชาการจากสถาบันจิตรกรรมรอยัลเดนิส ประเทศเดนมาร์ก ทดสอบแผนที่ "วินแลนด์" มานาน 5 ปี และได้ข้อสรุปว่า "น่าจะเป็นแผนที่จริง"

"วินแลนด์" เป็นแผนที่ที่เขียนในศตวรรษที่ 15 แสดงแผนที่บางส่วนของอเมริกาก่อนที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสนักบุกเบิก ค้นพบอเมริกาประมาณปีค.ศ.1492 ซึ่งนักวิชาการโต้เถียงเรื่องแผนที่วินแลนด์มานานกว่า 60 ปีแล้ว ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ในแผนที่แสดงเกาะกรีนแลนด์และเกาะทางตะวันตกของทะเลแอตแลนติกที่เรียกว่า "วินิแลนดา อินซูลา"

ลาร์เซ่น กล่าวว่า "เราศึกษาหมึก รูปแบบการเขียน รูบนกระดาษที่เกิดจากมอดเจาะ เนื้อกระดาษ และพบว่ารูมอดเจาะนั้นตรงกับหนังสือที่แผนที่เย็บติดกันไว้ ส่วนหมึกที่ดูเหมือนใหม่เป็นเพราะมีส่วนผสมของอะนาเทสไทเทเนียมไดออกไซด์ (Anatase titanium dioxide) ซึ่งแผนที่ในสมัยกลางก็เขียนด้วยหมึกเช่นนี้ โดยอะนาเทสไทเทเนียมไดออกไซด์อาจได้มาจากทรายที่ใช้ทำให้หมึกแห้ง"

นัก วิชาการอื่นๆ ของสหรัฐยังทดสอบแผนที่ด้วยคาร์บอนและพบว่า แผนที่น่าจะเขียนในราว ค.ศ.1440 ก่อนที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา เมื่อค.ศ.1492 คาดว่าแผนที่นี้น่าจะเขียนเพื่อใช้ประชุมในสมัชชาโบสถ์ที่เมืองบาเซล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แผนที่นี้ชาวอเมริกันซื้อมาจากนายหน้าชาวสวิสหลังจากที่พิพิธภัณฑ์บริติชมิ วเซียมของอังกฤษนำออกขาย เมื่อค.ศ. 1957 ปัจจุบันเป็นสมบัติของมหาวิทยาลัยเยล

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


horoscope-libra
chinese-compatibility
virgo-weekly
free-detailed-online
yahoo
tomorrow-aries-couple-love
aquarius-weekly
horoscope-for-libra-women
today-scorpio-love
leo-sign

ถ้าโลกหมุนรอบตัวช้ากว่านี้ “29 กุมภา” จะมาทุกปี

ปรากฏการณ์ 29 กุมภาฯ ที่มากันให้เห็นในทุกๆ 4 ปีนั้น ในอนาคตข้างหน้า เราอาจจะได้เห็นกันทุกปี เพราะปัจจุบันโลกเราหมุนรอบตัวเองใช้เวลาเพียง 23.56.1 ชม.และถ้าหากโลกหมุนช้าลงได้ถึง 24 ชั่วโมงต่อรอบจริง จะส่งผลให้มีวันเพิ่มขึ้นในทุกๆ 1 ปี ไม่ใช่ 4 ปีถึงจะมี 1 วันฉะนั้น “29 ก.พ.” ของทุกปีอาจจะมีขึ้นได้ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง

รศ.ดร.บุญรักษา สุนทรธรรม คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของวันพิเศษนี้ว่า การกำหนดปีตามปฏิทินที่กำหนดให้มี 365 วันหรือ 366 วัน เกิดจากการสังเกตของนักดาราศาสตร์ได้บันทึกการเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์การโคจร ของโลกรอบดวงอาทิตย์

นักดาราศาสตร์ พบว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบใช้เวลา 365 วันกับอีก 1 ส่วน 4 วัน เมื่อนำเวลาที่เกินมาในแต่ละปีนั้นมารวมเข้าด้วยกันในทุกรอบ 4 ปี ก็จะได้วันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน จึงเกิดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ และได้กำหนดเป็นปฏิทินสากล เรียกกันว่าปี อธิกสุรทิน

ปีอธิกสุรทินนั้น นอกจาก เป็นปี ค.ศ. ที่สามารถหารด้วยเลข 4 ลงตัว แล้ว ความสำคัญของการจัดปฏิทินก็เพื่อให้สอดคล้องกับฤดูกาล กล่าวคือ การจัดให้ฤดูกาลไม่ผิดเพี้ยนคู่ไปกับปฏิทิน จึงได้กำหนดเดือนขึ้นมาโดยนับจากที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1 รอบ (หรือดวงจันทร์เต็มดวงของอีกเดือนหนึ่งและกลับมาเต็มดวงอีกครั้ง) ที่ใช้เวลา 29 วันครึ่ง เรียกว่า 1 เดือน รวมทั้งสอดคล้องกับรอบปีด้วย

หัวใจสำคัญของการกำหนดวันคือไม่ให้ฤดูกาลเคลื่อนไปจากเดิม ซึ่งผู้ที่ได้รับการกล่าวถึงในการปรับปฏิทินที่ได้ใช้มาถึงปัจจุบันนี้คือ "จูเลียส ซีซาร์" กษัตริย์โรมัน เมื่อประมาณ 46 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งการปรับปฏิทิน จะกำหนดวันของแต่ละเดือนจะไม่เท่ากัน ตรงนี้กษัตริย์จูเลียสได้ยึดการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนไปตาม กลุ่มดาว 12 ราศีด้วย ดังจะเห็นราศีต่าง ๆ ในปฏิทินที่ใช้กันในทุกวันนี้ อย่างไรก็ดี ปีอธิกสุริทนได้มีการปรับอีกเล็กน้อยหลังจากนั้น โดยกำหนดว่าปี ค.ศ.นั้นจะต้องไม่สามารถหารด้วยเลข 100 ได้ลงตัวอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม วันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ อาจจะกลายเป็นวันหนึ่งในปฏฺทินของทุกปีเป็นได้ โดยนายชัยวัฒน์ คุปตะกุล ประธานคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ เปิดเผยว่า อาจจะมีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ได้ในทุกปี ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เกิดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ จะได้ฉลองวันเกิดตัวเองได้เหมือนคนอื่น ๆ แต่ทั้งนี้ ก็คงจะต้องรอไปอีกสัก 5,000-10,000 ปี เพราะข้อเท็จจริงทุกวันนี้โลกเราหมุนรอบตัวเองช้าลงไปเรื่อย ๆ

“ช้ากว่า 24 ชม.คือ 23 ชม. 56.1 นาที แต่ต่อไปในอนาคตอีก 5,000 ปี โลกจะหมุนรอบตัวเองได้ตรงกับ 24 ชม. พอดีก็ได้ อาจจะต้องมาปรับวันในปฏิทินกันใหม่”

ทั้งนี้ การที่เดือนกุมภาพันธ์จะมีทุก 29 วันตลอดไปก็อาจจะเป็นไปได้ ส่วนในระบบสุริยะจักรวาล ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ก็จะเป็นปกติ ไม่ได้ส่งผลพิเศษในด้านใดด้านหนึ่งแต่อย่างใด

สำหรับเหตุการณ์ที่น่าสนใจในอดีตที่ผ่านมาของวันที่ 29 กุมภาพันธ์จากหนังสือ "วันนี้ในอดีต" ของ ทรงวิทย์ แก้วศรี ระบุว่า ในต่างประเทศ เมื่อ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) จอห์น เกลน สร้างประวัติศาสตร์เป็นมนุษย์อวกาศอเมริกาคนแรกที่มีอายุมากที่สุดที่ได้ เดินทางขึ้นไปโคจรในอวกาศรอบโลกได้สำเร็จ หลังจากที่เคยเป็นวีรบุรุษของสหรัฐอเมริกาในการพิชิตอวกาศไปแล้วก่อนหน้า นั้น

นอกจากนี้ ยังเป็นวันเกิดของ จอห์น เรย์ ชาวอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.1628 (พ.ศ.2171) ผู้ทุ่มเทชีวิตจิตใจศึกษาธรรมชาติขนาดหลับตามองเห็นพืชทุกชนิด ได้จำแนกพืชต่าง ๆ และตั้งชื่อกำกับพืชจนเป็นที่มาของการศึกษาค้นคว้าของคนรุ่นหลัง และในปี พ.ศ.2225 จอห์นเรย์ได้รับเกียรติอย่างสูงว่าเป็น "บิดาแห่งพฤกษศาสตร์" และตัวเขาได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.2248

ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงไฟฟ้าขึ้นที่สามเสน ถือเป็นโรงไฟฟ้าแห่งแรกในเมืองไทย และคนไทยได้ใช้ไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงจากไต้ เทียนไข ตะเกียง น้ำมัน หรือแก๊สในอดีต

และวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2523 พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเลือกบุคคลที่มีความสามารถสูงกว่าเข้ามาบริหารประเทศ

วันพิเศษของวันที่ 29 กุมภาพันธ์ นั้น มีข้อมูลว่าในต่างประเทศให้ความสำคัญถึงขั้นจัดตั้งสมาคมผู้ที่เกิดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ เลยทีเดียว

จริงๆ แล้ว 29 กุมภา อาจจะไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่พิเศษอะไร เพียงแต่เป็นวันที่ใครหลายคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยเพราะสี่ปีมีขึ้นสัก ครั้งโดยเฉพาะผู้ที่เป็นวันเกิดตัวเอง ได้ฉลองวันเกิดด้วยความสุขที่เปี่ยมล้น มองอีกแง่หนึ่ง ใคร ๆ ก็ต้องอิจฉาผู้เกิดวันนี้ นอกจากเป็นวันเกิดที่ไม่เหมือนใครแล้วแถมยัง ประหยัดดีด้วย ไม่ต้องเปลืองงบ เพราะนานถึง 4 ปี จะได้ลงเงินลงแรงจัดงานเลี้ยงเพื่อนฝูงสักครั้ง

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


taurus-weekly
rockie
horoscope-leo-love
free-monthly-forecast
tomorrow-leo
gemini-love
free-personal
free-chinese-compatibility
free-online
free-daily-for-all

ทำอีกท่าไหนฟองเบียร์ถึงจมน้ำได้ !!

ไม่ ใช่เรื่องประหลาดและยากอะไรมากนัก หลักการเบื้องต้นก็แค่การไหลเวียนของของเหลวภายในแก้ว และไม่ใช่เฉพาะกับเบียร์ แต่เป็นกับของเหลวทุกชนิด เพียงแต่สังเกตในเบียร์ดำจะง่ายกว่า เพราะน้ำเบียร์สีดำ แต่ฟองสีขาวทำให้เห็นชัดเจน จะเห็นฟองขาวแทรกตัวในน้ำสีดำได้ง่ายกว่าน้ำประเภทอื่นๆ

...เตรียมพร้อม...เทเบียร์ลงแก้ว แล้วเพ่งกันเลย...

เริ่มจากจุดที่เราเทเบียร์ลงสู่แก้ว จน กระทั่งของเหลวในแก้วสงบนิ่ง ภายในแก้วบริเวณพื้นผิวของเบียร์ ฟองส่วนหนึ่งเกาะอยู่กับขอบด้านในของแก้วก็จะค่อยๆ เลื่อนตัวลงเหมือนกับที่เราเอานิ้วลากลงข้างตัวแก้วก็จะลื่นไถลลงมา ขณะ เดียวกันที่บริเวณส่วนกลางของแก้ว ฟองเบียร์ไม่ได้เกาะที่ด้านข้างของแก้ว ทำให้มีอิสระที่จะลอยตัวขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฟองก๊าซในของเหลวต่างๆ ลอยขึ้นสู่พื้นผิวด้านบนตามที่เราเห็น

กุล่มฟองตรงกลางแก้วจะลอยขึ้นสู่บริเวณพื้นผิวของเหลวอย่างรวดเร็ว แต่จะอยู่ต่ำกว่าพรายฟองเบียร์ที่กองอยู่บนแก้วแล้ว การลอยขึ้นนี้ฟองอากาศจะดันและนำของเหลวหรือน้ำเบียร์บางส่วนขึ้นมาด้วย และเมื่อลอยขึ้นมาถึงบริเวณพื้นผิวแล้วของเหลวซึ่งถูกดึงและดันด้วยฟองอากาศ อย่างรวดเร็วนั้น จะขนกับของเหลวบริเวณปากแก้ว จนกระทั่งลอยออกไปบริเวณขอบแก้ว (ตามภาพ)

กระแสของเหลวเมื่อไปชนกับขอบแก้วแล้วก็จะไหลลงสู่ด้านล่างเหมือนคลื่น ซึ่งของเหลวส่วนที่กำลังไหลลงสู่ด้านล่างนี้ก็จะนำฟองส่วนหนึ่งที่อยู่บริเวณขอบแก้วด้านบนดึงดิ่งลงสู่ด้านล่างด้วยเช่นกัน การที่ของเหลวหรือน้ำเบียร์ดำไหลลงสู่ด้านล่างนั้นจะรวดเร็วมาก ซึ่งสามารถเห็นได้แค่กระแสน้ำสีดำเป็นทาง แต่จะไม่ทันสังเกตเห็นฟอง

มันก็จะวนเวียนไปมาอยู่เช่นนี้ เพราะเมื่อฟองถูกดึงลงมาข้างล่าง มันก็จะลอยขึ้นสู่ตรงกลางแล้ว และหลังจากนั้นก็จะเข้ากระบวนการแรกเริ่มอีกครั้ง วนเวียนไปเช่นนี้

พอมันเหนื่อยมันก็จะหยุดไป...อ่ะ ไม่ใช่ !!
เมื่อของเหลวหยุดการเคลื่อนไหว วงเวียนการจมน้ำของฟองก็จะจบลง เพราะไม่มีโมเมนตัมในการเคลื่อนที่อีกต่อไป โดยฟองส่วนใหญ่ของเบียร์ก็จะไปตกตะกอนลอยอยู่บริเวณพื้นผิวของน้ำเบีบร์ใน แก้ว

สรุปง่ายๆ คร่าวๆ ก็คือว่า...ฟองเบียร์ (หรือฟองอากาศ) ที่อยู่บริเวณกลางแก้วลอยขึ้นสู่ปากแก้ว และขณะลอยก็สร้างวงจรการไหลเวียนให้กับของเหลวภายในแก้ว และวงจรนี้ล่ะทำให้ของเหลวหมุนวนแล้ววนเล่า จากส่วนกลางของแก้วสู่ขอบแก้ว จากขอบสู่ก้น และจากก้นลอยกลับสู่ตรงกลาง เวียนไปเรื่อยๆ

และฟองอากาศ (หรือฟองเบียร์) ก็ถูกนำพาไปพร้อมกับการไหลเวียนดังกล่าว

จึงทำให้เห็นได้ว่า...ฟองเบียร์ก็จมน้ำได้เหมือนกัน !!


นักวิทยาศาสตร์พบ...มหัศจรรย์บังเกิด “ฟองเบียร์จมน้ำ” (ได้ด้วย !!)


horoscope-taurus
today-taurus-love
linda-goodman
horoscope-capricorn
horoscope-for-today-tomorrow
pisces
horoscope-love-sign-compatibility
free-love-compatibility-readings
online
horoscope-sign-explanations

มหัศจรรย์บังเกิด “ฟองเบียร์จมน้ำ” (ได้ด้วย !!)

โฉมหน้าเบียร์ดำ "กินเนสส" ที่กลายเป็นเรื่องฮือฮา เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่าฟองเบียร์ในแก้วเหล่านี้จมลงในน้ำเบียร์ได้ด้วย
รอยเตอร์/บีบีซี – ใคร จะเชื่อว่า “ฟอง” ที่เบากว่าของเหลวจะจมได้ !! การค้นพบที่ค้านทฤษฎีเดิมๆ นี้เกิดขึ้นในแก้วเบียร์ดำยี่ห้อดัง “กินเนสส์” ฟองครีมสีขาวข้นจมลงสู่ก้นแก้วอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ชัดแล้วไม่ใช่ภาพลวงตา แต่ว่าเป็นเรื่องจริง

ข้อค้นพบนี้กลายเป็นที่ฮือฮาไม่ใช่ย่อยในประเทศอังกฤษ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งมีการฉลองเทศกาล เซ็นต์แพทริกส์เดย์ เหล่านักดื่มส่วนใหญ่ต่างสั่งเบียร์ดำยี่ห้อ “กินเนสส์” มาพิสูจน์ว่า “ฟองเบียร์มันจมดิ่งลงก้นแก้ว แทนที่จะลอยตัวขึ้นสู่ขอบแก้วเหมือนเบียร์ยี่ห้ออื่นๆ “อย่างคำร่ำลือจริงหรือ

ระหว่างการถกเถียงว่าเป็นได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ก็สามารถพิสูจน์ออกมาแล้วว่า พวกเขาเห็นกับตาจริงๆ ว่าฟองครีมของเบียร์ดำยี่ห้อดังกล่าวได้พุ่งลงสู่ก้นแก้ว อย่างพลิกความคาดหมาย

“พวกเราได้ทดลองเบื้องต้นในผับแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์เมื่อหลายปีที่ แล้ว แต่ว่าผลการพิสูจน์ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน” ดร.แอนดริว อเล็กซานเดอร์ จากสาขาเคมี มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก เล่าถึงความพยายามหาคำตอบในเรื่องดังกล่าว

ตอนแรกที่พวกเขาได้พิสูจน์นั้น เชื่อว่าการจมของฟองเบียร์เกิดขึ้นเพราะขณะที่เทเบียร์ลงแก้วทำให้ของเหลว ถ่ายลงก้นแก้ว และฟองเบียร์ที่เห็นจมลงก้นแก้วก็เป็นภาพลวงตาที่จะต้องเห็นฟองอากาศจมลงตาม ของเหลวไปด้วย

ไม่ใช่แค่เบียร์ดำ ยี่ห้อที่ว่าเท่านั้น แต่ปริศนาแท้จริงอยู่ที่ "ฟองก๊าซ" ดังนั้นเครื่องดื่มแทบทุกชนิดที่มีส่วนผสมของคาร์บอเนต ฟองของมันก็ย่อมจะจมน้ำด้วย เพียงแต่สังเกตไม่เห็น
แต่การทดสอบออย่างใกล้ชิดทำให้เห็นว่า เมื่อ รินเบียร์ลงแก้วเป็นที่เรียบร้อยและตั้งให้นิ่งสนิท ทำให้เห็นว่าฟองเบียร์ที่เกาะอยู่บริเวณรอบแก้วก็เลื่อนลงสู่ก้นแก้ว เหมือนที่เราเอานิ้วแตะด้านข้างของแก้วแล้วลื่นลงสู่ด้านล่าง การลื่นนี่เองทำให้ฟองไม่ลอยขึ้นสู่ด้านบนของแก้ว แต่กลับจมลงสู่ก้นแก้วแทน

ขณะเดียวกัน ฟองเบียร์บางส่วนที่ไม่ได้เกาะบริเวณขอบแก้วก็จะสามารถลอยขึ้นไปได้ เพราะเมื่อฟองบางส่วนถูกดึง (เพราะลื่น) ลงสู่ก้นแก้ว ก็จะทำให้เกิดการไหลเวียนของฟองในแก้วเป็นลักษณะวงกลม ซึ่งฟองส่วนที่ไม่ได้เกาะติดกับส่วนข้างของแก้วก็จะไหลขึ้นไปอยู่บนน้ำ เบียร์ที่ขอบแก้ว

(คลิกเข้าไปอ่าน...ทำอีกท่าไหนฟองเบียร์ถึงจมน้ำได้ !!)

การ พิสูจน์ว่าฟองเบียร์ดำจมน้ำได้ในครั้งนี้ แน่นอนว่าย่อมทำลายความรู้ที่มีกันต่อๆ มาว่าฟองอากาศในน้ำย่อมลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ และไม่ใช่แค่เฉพาะเบียร์ดำเท่านั้น แต่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับของเหลวที่ผสมคาร์บอเนตหรือโซดาหรือของเหลวที่ มีฟองซ่า

เพียงแต่ว่าที่ค้นพบในเบียร์ดำ เพราะเบียร์ดำมีฟองเบียร์สีขาวครีม สีที่ต่างอย่างเด่นชัดเช่นนี้จึงทำให้สังเกตเห็นได้ง่ายว่าที่แท้ฟองอากาศใน ของเหลวจมลงสู่ด้านล่าง แล้วค่อยลอยขึ้นบน

ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์กได้ร่วมกันทำงานกับมหาวิทยาลัยแส ตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนียเพื่อที่จะบันทึกภาพของการไหลเวียนของฟองเบียร์ลงสู่ก้นแก้ว ด้วยกล้องวีดิโอดิจิตอลความเร็วสูง เพื่อจะแสดงหลักฐานตอกย้ำความทรงจำที่ไม่น่าเชื่อของนักดื่มอีกหลายๆ คนที่เคยได้สังเกตเห็นว่า ฟองเบียร์มันจมลงสู่ก้นแก้ว !!
อย่างไรก็ตาม หลายๆ คนคงจะกังขากับประโยชน์ของข้อค้นพบนี้...ฟองมันจะจมหรือลอยนั้นสำคัญอย่างไร?

ไม่ใช่แค่ความสนุกสนานกับการทดลอง แต่นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบ ได้แสดงถึงความสำคัญว่า หากเราสามารถรู้ว่าที่แท้ของเหลวสภาพมีการไหลเวียนอย่างไร ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะการมีความรู้ต่อวงจรและระยะในการไหลของของเหลวที่นำไปไปประยุกต์ใช้ ซึ่งสามารถใช้ได้ตั้งแต่กระบวนการผลิตยาจนกระทั่งการศึกษาเกี่ยวกับท้องทะเล และแม้แต่ในอุสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ก็คงจะต้องพิจารณาถึงข้อค้นพบครั้งนี้ ซึ่งอาจจะนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้อีกด้วย

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


aquarius-monthly
weekly-for-gemini
where-can-i-read-my-daily
free-daily
monthly-for-gemini
horoscope-tattoos
free-couple-compatibility
daily-teenage
teenager
cancer

กระดาษโค้งแผ่นไหนยาวกว่า

ลองถามคำถามให้เกิดการสังเกต
พร้อมทั้งลองตาม 5 ขั้นตอนต่อไปนี้ก่อน


1.ลองดูสิว่า กระดาษแผ่นไหนมีขนาดยาวกว่า

2.ลองดูสิว่า ถ้าเราหลับตาข้างหนึ่ง มองดูเปรียบเทียบขนาดของกระดาษโค้งทั้ง 2 แผ่นนี้ ยังคงมีขนาดเท่ากันหรือไม่

เรามาวิเคราะห์กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้

1.ตั้งสมมติฐาน ทำไมกระดาษวางในแนวโค้งขนานกัน จึงแลดูว่าอีกอันหนึ่งมีขนาดยาวกว่า
2.ทำการทดลอง โดยการสังเกต และพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย
3.สรุปผล เพื่ออธิบายลักษณะการเกิดปรากฏการณ์ ที่กระดาษโค้งแผ่นหนึ่งมีขนาดยาวกว่า




ลองทดลองตาม 5 ขั้นตอนนี้

1.นำกระดาษโค้งทั้ง 2 แผ่น วางในแนวโค้งขนานกันดังรูป แล้วสังเกตดูด้วยตามทั้ง 2 ข้าง และลองหลับตาดูด้วยตาเพียงข้างเดียวบ้าง จะพบว่ากระดาษโค้งทางขวาดูเหมือนว่าจะยาวกว่า

2.นำกระดาษโค้งทั้ง 2 แผ่น (เดิม) วางในแนวโค้งขนานกัน และสลับกันดังรูป แล้วสังเกตดูด้วยตาทั้ง 2 ข้าง แล้วลองหลับตาเพียงข้างเดียวบ้าง จะพบว่ากระดาษทางซ้ายจะดูเหมือนว่ามีขนาดยาวกว่า

3.นำกระดาษโค้งทั้ง 2 แผ่นเดิม วางในแนวโค้งเข้าหากัน ดังรูป จะพบว่ามีขนาดไม่แตกต่างกัน แต่ยังไม่ใช่ข้อพุสูจน์ว่ามีขนาดเท่ากัน

4.นำกระดาษโค้งทั้ง 2 แผ่นเดิม วางในแนวโค้งซ้อนทับกันจะเป็นข้อพิสูจน์ว่ามีขนาดเท่ากันพอดี

5.เพื่อหาข้อสงสัยที่ว่า ทำไมถึงดูว่า เมื่อวางขนาดกันจึงดูเหมือนอีกอันมีขนาดยาวกว่า ให้นำอันหนึ่งซ้อนทัยรอยโค้งท่าสั้นกว่าของอีกด้านหนึ่งไว้ ดังรูปใดรูปหนึ่ง

เราสามารถสรุปผลเพื่อหาคำอธิบายปรากฏการณ์ได้ว่า

มนุษย์เรามักใช้สายตาในการเปรียบเทียบสิ่งของ โดยเปรียบเทียบส่วนที่อยู่ใกล้กันก่อน (ดังการทดลองขั้นตอนที่ 5) เช่น ความโค้งที่สั้นเปรียบเทียบกับความโค้งที่ยาว กระดาษที่มีความโค้งสั้นข้างซ้ายที่จะแลดูสั้นกว่ากระดาษที่มีความโค้ง ยาวกว่าด้านขวา ในขั้นตอนอื่นๆ ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน แต่เมื่อบังความโค้งไว้ เราจะไม่พบเห็นความแตกต่างของขนาดเลย (ดังการทดลองขั้นตอนที่ 5)

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


aries-daily
free-weekly-astrology-forecasts
astrology
free-weekly
horoscope-relationship-match-love
female-leo
free-love-match
matching-love-signs
horoscope-aquarius-love-compatibility
free-long-weekly